ข้อมูลเกี่ยวกับโรคติดเชื้อแคนดิดาในช่องคลอด
(เผยแพร่ 08/2010)(ตีพิมพ์ใหม่ 05/2019)
โรคติดเชื้อแคนดิดาในช่องคลอด (Vaginal Candidiasis) คืออะไร
- การติดเชื้อแคนดิดาที่อวัยวะเพศพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ เกิดจากการเติบโตมากเกินของเชื้อราลักษณะยีสต์ชื่อ Candida albicans ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอยู่ที่บริเวณอวัยวะเพศตามธรรมชาติ
- ในสภาวะปกติ ตามอวัยวะเพศจะมีเชื้อแคนดิดาจำนวนเล็กน้อยอยู่ตลอด หากสภาพความเป็นกรดของช่องคลอดเปลี่ยนแปลงไป เชื้อแคนดิดาก็จะเติบโตได้มากขึ้น ผู้ป่วยจึงมีโอกาสเกิดโรคติดเชื้อแคนดิดาในช่องคลอดสูงขึ้นด้วย
โรคติดเชื้อแคนดิดาในช่องคลอดจำเป็นต้องได้รับการรักษาหรือไม่
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีอาการใดเกิดขึ้นเลย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรักษา
- ผู้ป่วยจำนวนเล็กน้อยอาจเกิดอาการของช่องคลอดอักเสบขึ้นได้ เช่น ตกขาวมีสีเหลืองขึ้นหรือมีกลิ่นแรงขึ้น คันบริเวณปากช่องคลอด ปวดช่องคลอด หรือเกิดความเจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ในกรณีที่ร้ายแรง อาจเกิดแผลและการอักเสบขึ้นที่ปากช่องคลอด ฝีเย็บ หรือบริเวณขาหนีบ ตามมาด้วยความเจ็บปวดอย่างเฉียบพลันได้
- หากคุณมีอาการของโรคติดเชื้อแคนดิดาในช่องคลอด โปรดขอคำปรึกษาได้ที่คลินิกผู้ป่วยนอกทั่วไปหรือคลินิกเอกชน หลังจากปรึกษาเสร็จสิ้น โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์สำหรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้อุปกรณ์พยุงช่องคลอด ครีมทาเฉพาะที่ หรือยาสำหรับรับประทาน
- หลังจากรักษาแล้วก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้
คู่นอนของฉันจำเป็นต้องได้รับการรักษาใดๆ หรือไม่
- ไม่พบหลักฐานสนับสนุนให้คู่นอนที่ปราศจากอาการใดๆ เข้ารับการรักษา
- หากคู่นอนของคุณเกิดอาการขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ทั้งสองคนก็ควรเข้ารับการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อข้ามคน
ปัจจัยเสี่ยงมีอะไรบ้าง
- การที่ชายหญิงมีเชื้อดังกล่าวอยู่ตามอวัยวะเพศจำนวนเล็กน้อยถือเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีปัจจัยมากมายที่อาจเป็นสาเหตุให้เชื้อเกิดการเติบโตมากเกินไปได้
- ปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เชื้อแคนดิดาเติบโตมากผิดปกติ ได้แก่
- การใช้ยาปฏิชีวนะ
- การตั้งครรภ์
- การเป็นโรคเบาหวาน
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเนื่องจากมีภาวะภูมิคุ้มกันถูกกด เช่น การติดเชื้อ HIV
วิธีป้องกันโรคติดเชื้อแคนดิดาในช่องคลอด
คำแนะนำต่อไปนี้อาจช่วยป้องกันการเกิดโรคติดเชื้อแคนดิดาในช่องคลอดหรือการกลับมาเป็นซ้ำได้
- รักษาอนามัยส่วนบุคคลให้ดี ซักชุดชั้นในอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการสวมกางเกงชั้นในผ้าไนลอนหรือกางเกงชั้นในที่คับเกินไป โดยให้สวมชุดชั้นในผ้าฝ้ายแทน
- อย่าใช้ยาฆ่าเชื้อในการทำความสะอาดช่องคลอด เนื่องจากจะทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- อย่าสวนล้างช่องคลอด
- หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัยที่ใส่กลิ่นและกระดาษชำระที่ใส่น้ำหอม
- หลังเข้าห้องน้ำ ให้เริ่มเช็ดที่ปากช่องคลอดแล้วเช็ดไปทางด้านหลัง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ช่องคลอดเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียจากทวารหนักได้